Tag: Daler Rowney

What ART eats? อะไรที่ฉันกิน??

สวัสดีครับ ไม่เจอกันนาน มาอัลบั้มใหม่
ขอชวนไปกินชา มีทั้งออเดิร์ฟ เมนคอร์ส และของว่าง

01_Chikalicious รูปแรก ถ้วยชาและกา
ไปห้างใหม่ เจอเพื่อน กินชากับของว่าง ตอนวาด ก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ วาดเส้นเสร็จก็ลงสี ไวๆใช้ความรู้สึกว่าพอก็หยุด วาดไปคุยกับเพื่อนไปก็สนุกดี

 

03_SALMON SALAD รูปสอง อาหารลดราคาหลัง 1 ทุ่ม
สลัดปลาแซลมอน เอาเข้าจริงมันอร่อยนะ คุณภาพเกินราคา แต่ดันไม่อิ่ม

 

02_EGG BREAD รูปสาม อาหารเช้าที่ได้รับแรงบันดาลใจ จากยูทูป
ขนมปังที่เหลือ ก็เอามาห่อ ทาเนย ใส่แฮม ตอกไข่ในถาดคัพเค๊ก แล้วก็อบจนไข่สุก โรยด้วยพริกไทยดำ อร่อยดีนะ ทำง่าย แต่ควรจะกินเลย จะได้กรอบๆ

 

04_SALMON SASHIMI รูปสี่ อาหารเหลือจากปาร์ตี้เมื่อวาน
โจทย์คือน้ำจิ้มทะเลกระเพรา ที่เหลืออยู่ จะกินกับอะไรดีนะ ใช่แซลมอนสิ เตรียมง่าย แค่หั่นปลา ราดน้ำจิ้มก็เยี่ยมแล้วหนิ ปะ! ซื้อแซลมอนมาทำเลย แต่เอ๊ะ ทำไมที่ขายมีหนังด้วยอะ เฮ้ยแค่หั่นปลา ต้องทำได้ เหวย ทำไมมืดไม่คมอะ นี่มันเลาะเนื้อออก หรือหนังกันแน่!! ไม่เป็นไรนะ ทำเองกินเอง ไม่มีคนบ่นหรอก 🙂

 

05_CHERRY รูปห้า เชอรี่ถูกจัง
สิ่งนี้สิ เตรียมง่ายสุด อาหย่อย

จบรีวิวสั้นๆ กับมื้อนี้แล้วนะครับ

ใช้อะไรวาดบ้าง
1. Lamy หัว M ใส่หมึกกันน้ำ Platinum Carbon Ink
2. สมุด ART spiral ขนาด B5 ผลิตโดย Maruman ทำจาก ญี่ปุ่น ซื้อจาก ISETAN, Singapore 9.15$
3. ตลับสีพก Daler Rowney 12 สี 20$
4. พู่กัน Ashley เบอร์ 5 SERIES 2000R ราคาน่าจะประมาณ 30$

ถามว่า สมุดห่วงดียังไง ก็ฟลิบง่ายดีเวลาวาด กระดาษไม่งอ ชอบมากกว่าสมุดธรรมดาครับ

Pala Pizza Romana ร้านพิซซ่าที่ผมไปมาแล้วกว่า 87 ครั้ง

จั่วหัวก็เกินไป๊! ถึงผมจะชอบพิซซ่าร้านนี้มากมายขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้ไปถี่ถึงขนาดนั้นครับ อันที่จริงแล้วถ้าจำไม่ผิดผมไปทานมาแลัวน่าจะ 8 ครั้งได้(ในสองเดือน) ก็เนื่องจากพิซซ่ามันอร่อยมากกก วัตถุดิบที่ใช้ก็คุณภาพดี แถมยังสามารถสั่งทานแค่พออิ่มชิ้นเล็กๆ ได้ด้วย พิซซ่าราคาเพียงแค่ 100 บาทก็อิ่มหนำสำราญใจแล้วครับ (แต่ผมขอสองนะ)

pala-7เนื่องจากร้าน Pala Pizza Romana ร้านนี้เป็นร้านอาหารแบบฝรั่งจ๋า ทำให้อะไรๆ ก็ดูน่าสเก็ตช์ไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้าน สินค้าที่วางขาย รวมถึงเมนูอาหารแต่ละเมนูด้วย และถึงแม้ผมจะเสพติดพิซซ่าร้านนี้มากมายเพียงใดก็ตาม แต่สิ่งที่ผมอยากสเก็ตช์ที่สุดกลับเป็นอาหารจานสลัดครับ ก็เนื่องจากความสดใสของสีสันวัตถุดิบ รวมถึงการจัดวางแบบ “ไร้กระบวนท่า” …หรือก็คือเอามาขยำๆ รวมๆ กันนั่นเองครับ ทำให้สลัดแต่ละจานนั้นน่าทานและน่าสเก็ตช์เป็นที่สุด

pala-1

Burrata Caprese

เมนูแรกเป็นเมนูที่ผมไปทานมาเมื่อเทศกาล “มายโลนลี่วาเลนไทน์” ที่ผ่านมาครับ Burrata Caprese มันคือสลัดมะเขือเทศครับ ฝานมะเขือเทศลูกขนาดกำลังพอเหมาะเป็นแผ่นหนา วางลงบนจานพร้อมกับผักร๊อคเก็ต ราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อยพร้อมเติมแต่งรสชาติเข้มข้นด้วยน้ำส้มบัลซามิก ปิดท้ายด้วยพระเอกคนสำคัญของสลัดจานนี้ก็คือชีสควาย…เอ่ออ…ชีสนมควายหรือก็คือ Burrata Cheese ที่วางมาทั้งก้อนเหมือนเชฟเขาขี้เกียจครับ ค่อยๆ เอามีดฝานตัดก้อนชีสก้อนใหญ่นี้ให้น้ำนมที่คงเหลืออยู่ภายในไหลออกมา จิ้มชิ้นชีสที่ชุ่มฉ่ำทานคู่ไปกับมะเขือเทศที่อาบพรมไปด้วยบัลซามิก รสชาติของนมผสมกับความหวานของมะเขือเทศและความเปรี้ยวของบัลซามิก สลัดจานนี้อร่อยจนยากที่จะหาคำบรรยายมาบอกกล่าวเลยหล่ะครับ

pala-2

Bio Red Honey Tomato Salad

เมนูสลัดจานที่สองก็คือ Bio Red Honey Tomato Salad วันนี้ผมไปทานกับเพื่อนครับนั่นก็คือคุณวิ @pi_pooh สเก็ตช์เชอร์ทาสแมวและอาหารยั่วน้ำลายของเรานั่นเอง เรื่องของเรื่องคือผมได้เคยโม้กับคุณวิไว้เยอะมากว่าพิซซ่าร้านนี้อร่อยนักอร่อยหนา คุณวิฟังแล้วก็หน้านิ่วว่าจะเชื่อถือคำพูดของผมได้หรือไม่ จึงขอมาลองให้หายข้องใจกันไปเลยครับ สั่งพิซซ่าเป็นที่เรียบร้อยสำหรับมื้อนี้แต่ตาของพวกเราเหลือบไปเห็นเมนูพิเศษประจำวันบนป้ายที่แขวนไว้เหนือบาร์…แล้วก็ลองสั่งดูครับ สลัดจานนี้เป็นสลัดมะเขือเทศสีส้ม…ซึ่งผมไม่ทราบจริงๆ ครับว่ามันคือพันธุ์อะไรกันแน่แต่ถ้าหากมันเป็นสิ่งที่สามารถกินได้ …ผมก็กินไม่ยั้งอยู่แล้วครับ สลัดจานนี้เป็นสลัดหวาน เสริฟมาพร้อมกับชีส(อะไรไม่รู้จำชื่อไม่ได้)หันเป็นสีเหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ คลุกเคล้าด้วยกันกับผักร็อคเก็ต แต่ที่ทำให้สลัดจานนี้มีรสชาติที่พิเศษเหนือใครนั่นก็คือน้ำผึ้งครับ จานนี้เป็นสลัดที่ราดน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มความหวานแต่กำลังพอดี ผสมผสานกับความหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ของมะเขือเทศ ตัดรสด้วยความเค็มเล็กน้อยจากชีส เผลอแป๊บเดียวสลัดจานนี้ก็หมดเกลี้ยงแบบไม่ทันรู้ตัวครับ

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงจะบอกว่าไหนว่าชอบพิซซ่าแต่ไม่เห็นมีสเก็ตช์รูปพิซซ่ามาอวดกันบ้างเลย …ผมต้องขออภัยจริงๆ ครับที่ไม่มีสเก็ตช์พิซซ่าเหล่านั้นมาให้ได้ชม งั้นขอแก้ตัวด้วยการนำรูปถ่ายที่ “ไม่ได้ตั้งใจถ่าย” มาให้ดูกันแล้วกันนะครับ 😉

ที่มีปลาเค็มคือ Ciociara อันหลังที่แฮมบานๆ คือ Toscana

ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น Boscaiola

Brie & Speck อันนี้เมนูโปรดของผมครับ ส่วนอันหลังอะไรไม่รู้น่าจะ Capricciosa (มั่ว)

Bio Red Honey Tomato Salad

อ้อ! เกือบลืมบอกครับ ร้านนี้เดินทางไปไม่ยากเลยครับ นั่งรถไฟฟ้ามาที่สถานีอโศก หรือรถไฟใต้ดินมาที่สถานีสุขุมวิท ตรงบันไดเลื่อนทางเชื่อมต่อระหว่างรถไฟใต้ดินมายังบนดิน(บริเวณที่มีม็อบ ข้างร้านโดนัท บันไดเลื่อนที่จะขึ้นไปห้างเทอมินัล 21) หยุดยืนสักพักเพื่อสูดกลิ่นหอมจากเตาอบครับ แล้วคุณจะทราบเองว่าเดินตรงไปอีกสักนิดร้าน Pala Pizza Romana ก็กำลังรอคอยให้คุณเข้าไปลิ้มชิมรสพิซซ่าที่แสนอร่อยอยู่ครับ

อุปกรณ์ที่ใช้

เว็บไซต์ของร้านpalapizzabangkok.com

ขอขอบคุณ : รูปถ่ายสวยๆ จาก @itidtie ด้วยนะครับ นี่ชั้นต้องพาเธอไปเลี้ยงไหมเนี่ยะ?

ผมเกลียด Starbucks!

แฟนพันธุ์แท้สตาร์บัคส์คนไหนอ่านแค่หัวข้อตอนนี้แล้วอยากจะเข้ามาไฝ้ว์กับผมขอให้อ่านให้จบก่อนนะครับ เดี๋ยวจะเมื่อยนิ้วเพราะมัวแต่พิมพ์มาม่า

หลายคนคงทราบดีครับว่าไอตัวกระผมนั้นเป็นคนที่เสพติดกาแฟเป็นอย่างมาก วันใดไม่ได้สูบกาแฟเข้ากระแสเลือดวันนั้นแทบเรียกได้ว่าสถานะทางอารมณ์เหมือนผีชีวะเลยทีเดียว มันไม่สดชื่น โลกมืดหม่นมัวหมอง อะไรก็ดูเชื่องช้าไปเสียหมด…เฮ้อ…นอนในออฟฟิศมันเลยเสียดีกว่า

การที่ผมเสพติดกาแฟในความหมายคือผมติดรสกาแฟครับ เลือกดื่มกาแฟแต่รสที่ชอบเท่านั้น คั่วแบบนี้ เมล็ดพันธุ์นี้ กลั่นช็อตออกมาที่เวลาเท่านี้ถึงจะสมบูรณ์แบบ ซึ่งดัดจริตมาก!! ใช่ครับผมรู้ตัวดี…มันจึงเป็นนิสัยเสียที่ติดตัวมาจากเชียงใหม่ซึ่งมีร้านกาแฟที่ถูกปากผมหลายร้านแถมยังเดินทางไปดื่มได้สะดวกแต่พอย้ายมาทำงานที่บางกอก การหากาแฟที่รสถูกปากสักร้านช่างเป็นไปได้ยากเย็น เข้าห้างก็มีแต่กาแฟแบรนด์ใหญ่ๆ จะออกนอกเส้นทางรถไปฟ้าก็ไปไม่เป็นไม่มีรถส่วนตัว ทำให้ได้ดื่มแต่กาแฟที่รสไม่ถูกปาก นั่นก็คั่วเข้มแล้วมาชงร้อนเหมือนให้ม้ากิน นั่นก็เบาบางไปหรือบางร้านสั่งเอสเพรซโซ่แต่เหมือนกินไมโลผสมเนสกาแฟ โว๊ะ! ดัดจริตมาก! …ส่วนพวกแกก็อย่าเอาเปรียบคนกินกาแฟนักสิฟระ! (ขอบ่นนิดนึง)

sketch-3

แต่แล้ววันนึงชีวิตผมก็เปลี่ยนไปครับ เพื่อนผมคนนึงเค้าได้แนะนำว่าถ้าอยากกินกาแฟทำไมไม่กินที่ร้านสตาร์บัคส์ล่ะ …แน่นอนว่าในใจผมต่อต้านเนื่องมาจากในอดีตเคยลิ้มลองไปหลายแก้วแต่ไม่เคยเป็นที่ถูกใจแม้แต่เมนูเดียว ราคานั้นก็แสนแพง มีแต่กาแฟเด็กเล่นน้ำหวานเต็มแก้วจนไม่ได้รสกาแฟ เกลียด!! แต่คราวนี้เพื่อนผมก็แนะนำว่าทำไม่ลองกาแฟเมนูนี้ดูล่ะ ถึงไม่เป็นกาแฟแบบอิตาเลียนแท้ๆ แต่รสชาติดีรับรองว่าต้องติดใจแน่ นั่นก็คือ Hot Caramel Macchiato ผมเลยสั่งด้วยความคาดหวังว่ามันจะเป็นแก้วช็อตเล็กเหมือน Macchiato แบบอิตาเลียน ซดน้อยแต่พอดีมีนมหน่อยให้พออยู่ท้อง แต่กลับกลายเป็นว่ากาแฟแก้วนี้เสริฟมาเป็น “โอ่ง” ครับ!! ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าไอคำว่า Macchiato ของไอร้านนี้มันจะเสริฟมามากมายขนาดนี้ เรียกได้ว่ากินอิ่มยันอ้วกได้เลย แต่ไหนๆ แล้วก็ขอลองลิ้มชิมรสสักหน่อยนะ

…ข้าขอคุกเข่าลงแต่เทพีกาแฟ…อร่อยมาก!! เมนูกาแฟแก้วนี้อร่อยเสียจริงจนผมต้องประหลาดใจ ถึงแม้ไม่ใช่กาแฟแบบต้นฉบับที่แท้จริงแต่เป็นการปรับสูตรให้เกิดเมนูที่ทำให้สามารถดื่มกาแฟได้ง่าย สามารถดื่มได้ทุกเพศทุกวัยซึ่งนี่แหละเป็นสิ่งที่มัดใจแฟนๆ สตาร์บัคส์เค้าหล่ะ เอสเพรซโซช็อตรสนุ่ม เทลงในนมร้อนที่สตีมเป็นอย่างดี ราดหน้าด้วยคาราเมลเข้มข้นหวานมันสูตรพิเศษของทางร้าน ทำให้กาแฟแก้วนี้อร่อยสามารถดื่มได้ง่าย ไม่จะกลางวันหลังมื้ออาหาร หรือจะเป็นหัวค่ำก่อนกลับบ้านเข้านอน กาแฟอุ่นๆ แก้วนี้ช่างเหมาะในทุกช่วงเวลาเสียจริง เข้าร้านครั้งหน้าลองสั่งกันได้นะครับรับรองว่าจะไม่ผิดหวัง(แถมอ้วนน้อยกว่ากาแฟปั่นกาแฟเย็นด้วยนะเอ้อ!)

sketch-1sketch-2

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเกลียดสตาร์บัคส์เข้าเส้นก็คือ “วัฒนธรรมที่ลูกค้าปฏิบัติ” ครับ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งแช่ของลูกค้าตั้งแต่เช้ายันบ่ายด้วยน้ำมะนาวแก้วเดียว การติวหนังสือหรือขายตรงที่ทำกันแบบไม่เกรงใจใคร การถ่ายรูปแก้วกาแฟที่ไม่ว่าจะถ่ายมุมใดตีลังกาหรือนอนเหยียดบนพื้นก็ล้วนแล้วแต่จะมีโลโก้ของสตาร์บัคส์หันเข้ากล้องอยู่เสมอจนดู “ยิ่งกว่าจงใจ” หรือล่าสุดจะเป็นการนั่งสเก็ตช์ในร้านโดยที่กาแฟหมดแก้วไปนานแล้วแต่ยังไม่ลุกเสียที(อุย!) ทีแรกผมก็สงสัยว่าไอเรื่องพวกนี้มันอะไรของมันวะ? แต่พอมองและคิดดูอย่างถ้วนถี่แล้วต้องถือว่ากาแฟแบรนด์นี้ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ทีเดียว ลูกค้ามีความภูมิใจที่ได้เข้ามาใช้บริการ ดึงลูกค้าให้อยู่ในร้านได้นานซึ่งมีโอกาสที่จะสั่งเครื่องดื่มเพิ่มได้ในภายหลัง(ข้อนี้ยังคงเป็นที่สงสัย) สามารถโปรโมทแบรนด์ผ่านลูกค้าได้โดยสมัครใจและไม่ต้องมีรางวัลมาเป็นข้อตกลง แถมทางร้านยังมีบริการให้เราได้ลองชิมกาแฟแปลกใหม่รวมถึงขนมจากทางร้านด้วยความเป็นกันเอง ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกเสมือนมาร้านกาแฟของเพื่อนที่รู้จักและอยากที่จะกลับมาอีกครั้งในโอกาสหน้า ทั้งหมดคือความเจ๋งของสตาร์บัคส์ที่ผมชื่นชอบและอดอมยิ้มไม่ได้ทุกทีเมื่อเข้ามาดื่มกาแฟในร้านและก็เห็นสาวๆ ถ่ายรูปตัวเองคู่กับแก้วกาแฟลงอินสตาแกรม นี่แหละครับคือ Starbucks Culture ที่น่าสนใจเสียจริง

อุปกรณ์ที่ใช้ :

หมายิ้ม

เห็นวาดแต่แมว กลัวน้องหมาน้อยใจ เลยลองวาดหมาบ้าง

dog1

หมาปอม

dog2

ชิบะ อินุ เขาชื่อ Marutaro

ปล: ไม่ใช่รูปแรกที่วาด แต่วาดหลายรอบแล้ว ฝีมือจึงพัฒนา 🙂

อุปกรณ์ ที่ใช้ ก็เหมือนเดิมครับ
Monologue Sketchbook / A5/ 140G / 250-300 บาทนี่แหละ
– สีน้ำตลับ 12 สี ยี่ห้อ Daler Rowney ราคาประมาณ 600 บาท แถมมาพร้อมพู่กันเบอร์ 4

ของรางวัลสำหรับทาสแมวทั้งหลาย

สวัสดีครับ

ผมชื่ออาร์ตครับ ปัจจุบันเป็นสถาปนิกแต่ไม่ค่อยได้ทำงานดีไซน์เลยอัดอั้นมาวาดรูประบายสีนี่แหละ เริ่มต้นมาจากเพื่อนสนิทบอกให้วาดภาพรูปเหมือน แต่วาดไปวาดมาไม่เหมือนเลยมาวาดแมวดีกว่า น่าจะเริ่มวาดประมาณเดือนที่แล้ว วาดเสร็จปุ๊ป ลงอินสตาแกรมปั๊ป บางทีสียังไม่แห้งเลย

วาดไปวาดมาผลตอบรับดีเกินคาดจนเพื่อนบอกเลิกวาดรูปเหมือนเถอะเพราะมันไม่เหมือน วาดแมวให้มันแบ๊วๆ จริตแมวนี่แหละคนชอบนัก ไลค์กันกระจุยในอินสตาแกรม จนคนวาดตกใจ

01_NALA_01

02_NALA_02

03_NALA03

04_NALA04

เริ่มต้นจากการวาดแมวเซเลป เจ้าแมวนาลา แมวอโศก หลังจากนั้นก็วาดแมวที่บ้านให้เพื่อน ยังทำอยู่ไม่เสร็จสักที ที่แนบมาเป็นผลงานบางส่วนที่ทำเสร็จแล้วครับ

05_NALA05

08_น้องมะม่วง_สีSchmincke

09_แม่มะระ_สีSchmincke

10_น้องสีหมอก สีSchmincke

 

ถามว่าทำไมถึงซื้อสีอีกยี่ห้อ บอกเลยระบายอันแรกสีน้ำเงินหมดไปครึ่งก้อนในเวลา 1 เดือน แถมสีเขียวเกรดนักเรียนระบายยังไงก็ตุ่น ปล. อาจจะอยู่ที่ฝีมือและช่วงนี้กำลังบ้าก็เลยซื้อๆ ไปก่อนกับคำยุของเพื่อนที่บอกว่าถูกมากเมื่อเทียบกับที่ไทย คุณภาพสีของ Schmincke ดีกว่า re-use แล้วไม่เป็นตะกอนเหมือนยี่ห้อแรก ก็พี่ท่านแพงกว่าจะ 3-4 เท่าได้หนิ แต่ก็ต้องมาปรับวิธีระบายเพราะสีมันใสมากๆ ยังไม่คุ้นเท่าไรกำลังทดลองกับ Urban Sketch เดี๋ยวจะมารีวิวในรอบหน้าและกันครับ

ถ้าต้องการติดตามผลงาน ทันด่วน ก็ไป follow ในอินสตาแกรมนะครับ @dej รูปโพรไฟล์เป็นรูปแมวอโศกนอนกลมดิ๊ก

ขอบคุณครับ
ART+DEJ

อุปกรณ์ที่ใช้
– ดินสออะไรก็ได้ แต่ผมใช้ดินสอกด lamy เอ๊ะ จะอวดทำไม
– สีน้ำตลับ 12 สี ยี่ห้อ Daler Rowney ราคาประมาณ 600 บาท แถมมาพร้อมพู่กันเบอร์ 4
– สีน้ำตลับ 15 สี กล่องโลหะ ยี่ห้อ Schmincke Watercolor ราคาประมาณ 1,500 บาท
– พู่กัน ยี่ห้อ ZIG ขนาดกลางราคา 150 บาท (หัวพังแล้ว ใช้ไว้ผสมสี หรือลงเปียกก่อน)
– สมุด A5 กระดาษ 160g/m2 / Daler Rowney / 20 แผ่น / 75 บาท
Monologue Sketchbook / A5/ 140G / 250-300 บาทนี่แหละ

PS. ราคานี้ซื้อที่สิงคโปร์ ร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน ชื่อ Art Friend ถ้าเป็นสมาชิกจะลดเพิ่มอีก 10 เปอร์เซนต์ด้วยนะครับ.