“พัก ของว่าง”
ช่วงพักอบรม ตาสว่างเมื่อจับ Lamy และระบายสีน้ำ
“นั่งรอก่อนเข้าทำงาน..ตอนเช้า”
นั่งรอเวลาขึ้นตึกเห็นมุมน่าจะเขียนได้ ก่อนทำงาน
“พัก ของว่าง”
ช่วงพักอบรม ตาสว่างเมื่อจับ Lamy และระบายสีน้ำ
“นั่งรอก่อนเข้าทำงาน..ตอนเช้า”
นั่งรอเวลาขึ้นตึกเห็นมุมน่าจะเขียนได้ ก่อนทำงาน
ภาพความประทับใจต่อสถานที่ต่างๆที่เคยได้ใช้ชีวิตผูกพันกับที่นั่น ถูกถ่ายทอดผ่านลายเส้นบูดๆเบี้ยวๆ แต่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความคิดถึง
อุปกรณ์:
Lamy และสมุด Rhodia
สเก็ตช์ตอนนี้ผมดีใจและภูมิใจนำเสนอมากครับ นั่นก็เพราะเป็นสเก็ตช์จากเพื่อนสนิทสมัยเรียนออกแบบด้วยกันกับผมนั่นก็คือน้องอีฟ นักเขียนลึกลับของเว็บ bbblogr.com นั่นเอง (แต่ยังไม่เคยลงสักตอนนะ) เธอเพิ่งจะเริ่มสเก็ตช์มาเมื่อไม่นานนี้เองครับก็เริ่มพร้อมๆ กับที่ทำเว็บ Sketchland Yard นั่นแหละ เธอเริ่มจากการหลงรูปจนถึงขั้นเสพติดปากกาลามี่ครับ และหลังจากที่ตามอ่านเว็บบีบีบล็อกมาหลายตอน เธอก็เริ่มเข้าสู่วงการสเก็ตช์อย่างเต็มตัวแล้วล่ะครับ(เริ่มซื้อสีน้ำกับกับสมุดสเก็ตช์ล่ะ ยะฮู้!) คอยให้กำลังใจและโปรดรอชมผลงานอื่นๆ ของเธอได้นะครับ ขอบคุณมากครับ@hackhq
ออกมาข้างนอกช่วงวันหยุดยาว
ยิ่งออกมาเช้าคนยิ่งน้อย ยิ่งเงียบ
เก็บบรรยากาศ วงเวียนโอเดียนผ่านลายเส้นที่ไม่ต้องรีบและเร่งเหมือนทุกๆวัน
สวัสดีครับ ไม่เจอกันนาน มาอัลบั้มใหม่
ขอชวนไปกินชา มีทั้งออเดิร์ฟ เมนคอร์ส และของว่าง
รูปแรก ถ้วยชาและกา
ไปห้างใหม่ เจอเพื่อน กินชากับของว่าง ตอนวาด ก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ วาดเส้นเสร็จก็ลงสี ไวๆใช้ความรู้สึกว่าพอก็หยุด วาดไปคุยกับเพื่อนไปก็สนุกดี
รูปสอง อาหารลดราคาหลัง 1 ทุ่ม
สลัดปลาแซลมอน เอาเข้าจริงมันอร่อยนะ คุณภาพเกินราคา แต่ดันไม่อิ่ม
รูปสาม อาหารเช้าที่ได้รับแรงบันดาลใจ จากยูทูป
ขนมปังที่เหลือ ก็เอามาห่อ ทาเนย ใส่แฮม ตอกไข่ในถาดคัพเค๊ก แล้วก็อบจนไข่สุก โรยด้วยพริกไทยดำ อร่อยดีนะ ทำง่าย แต่ควรจะกินเลย จะได้กรอบๆ
รูปสี่ อาหารเหลือจากปาร์ตี้เมื่อวาน
โจทย์คือน้ำจิ้มทะเลกระเพรา ที่เหลืออยู่ จะกินกับอะไรดีนะ ใช่แซลมอนสิ เตรียมง่าย แค่หั่นปลา ราดน้ำจิ้มก็เยี่ยมแล้วหนิ ปะ! ซื้อแซลมอนมาทำเลย แต่เอ๊ะ ทำไมที่ขายมีหนังด้วยอะ เฮ้ยแค่หั่นปลา ต้องทำได้ เหวย ทำไมมืดไม่คมอะ นี่มันเลาะเนื้อออก หรือหนังกันแน่!! ไม่เป็นไรนะ ทำเองกินเอง ไม่มีคนบ่นหรอก 🙂
รูปห้า เชอรี่ถูกจัง
สิ่งนี้สิ เตรียมง่ายสุด อาหย่อย
จบรีวิวสั้นๆ กับมื้อนี้แล้วนะครับ
ใช้อะไรวาดบ้าง
1. Lamy หัว M ใส่หมึกกันน้ำ Platinum Carbon Ink
2. สมุด ART spiral ขนาด B5 ผลิตโดย Maruman ทำจาก ญี่ปุ่น ซื้อจาก ISETAN, Singapore 9.15$
3. ตลับสีพก Daler Rowney 12 สี 20$
4. พู่กัน Ashley เบอร์ 5 SERIES 2000R ราคาน่าจะประมาณ 30$
ถามว่า สมุดห่วงดียังไง ก็ฟลิบง่ายดีเวลาวาด กระดาษไม่งอ ชอบมากกว่าสมุดธรรมดาครับ
ออกต่างจังหวัด พักผ่อนอัมพวา
แต่ที่ขาดไม่ได้คือ สมุดกับปากกา
ได้เขียนรูปที่ไม่ใช่เมืองหลวงก็สนุก…เรื่อยๆ…ไม่เร่ง
การที่งานยุ่งจนไม่มีเวลาแม้แต่จะออกนอกบ้านไปสเก็ตช์ต้นไม้สักต้น ทำให้สมุดสเก็ตช์ที่พกติดตัวตลอดเวลาต้องปิดปกไว้ไม่ได้รับน้ำหมึกและสีน้ำเลย แต่ด้วยความที่เป็นคนที่ชอบสีสันสดใส สีแดงสีเหลืองสีส้มนี่ขาดไม่ได้เลยสำหรับชีวิต พอเจอกับอะไรก็แล้วแต่ที่มีสีเหล่านี้ก็มักจะถ่ายรูปเก็บไว้ …ซึ่งถ่ายเก็บไว้ทำไมก็ไม่รู้ แต่ก็มีครั้งนี้แหละที่ต่อให้งานยุ่งแค่ไหนก็ตามก็ยังอยากที่จะสเก็ตช์ให้ได้สักครั้ง
โคมไฟที่ส่องแสงสว่างในร้านอาหารญี่ปุ่นของชั้นอาหารห้างเทอมินัล 21 …โคมไฟดวงใหญ่สีแดงที่เด่นสะดุดตา ภายในส่องแสงเหลืองทองสว่างเรืองรองทำให้ปรรยากาศทางเข้าร้านแลดูสนุกและน่ารื่นรม สีแดงและส้มของแสงทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะลงมือสเก็ตช์โคมไฟดวงนี้
ผมสเก็ตช์ลายเส้นแบบเรียบง่ายให้เห็นเป็นเค้าโครงของรูปภาพโดยรวมไว้ก่อน จากนั้นจึงลงสีน้ำตามแสงเงาที่เห็น แต่แต่งแต้มเพิ่มความสดใสให้ดูเหมือนราวกับว่าโคมไฟในสมุดหน้านี้กำลังเปร่งแสงออกมาจริงๆ เมื่อลงสีเสร็จจึงแต่งเส้นเพิ่มรายละเอียดในหลายๆ จุด ทั้งนี้ก็เพื่อให้เส้นที่วาดทับสีน้ำนั้นเป็นเส้นที่มีสีเข้มและชัดเจน ภาพจะได้ดูมีมิติและแสดงถึงริ้วรอยของการใช้งานให้เด่นชัดยิ่งขึ้น
หัวจ่ายน้ำสำหรับใช้ในการดับเพลิงสีแดงอาจจะเป็นของที่เห็นจนชินตาสำหรับใครหลายต่อหลายคน แต่หัวจ่ายอันนี้มีความพิเศษในตัวของมัน เนื่องด้วยเพราะผมอาศัยอยู่ในเขตชุมชนที่มีผู้คนผ่านสัญจรไปมา และมีคุณลุงคุณป้าที่อาศัยอยู่ระแวกนี้เดินพบปะพูดคุยไปมาหาสู่กัน บางครั้งลุงและป้าคงเดินจากบ้านมาไกลก็เกิดอาการเมื่อยเนื้อเมื่อยเข่า หัวจ่ายน้ำดับเพลิงจึงถือเป็นที่นั่งชั้นดีในเวลาที่พอเหมาะพอเจาะเช่นนี้ อีกทั้งเมื่อนั่งพักแล้วยังสามารถที่จะหยุดมองดูวิถีชีวิตของผู้คนที่ผ่านไปมาเพื่อความเพลิดเพลินได้อีกด้วย ผมมักจะนั่งทานอาหารกลางวันที่ร้านข้างๆ นี้อยู่เป็นประจำจึงเห็นได้ว่า เจ้าหัวจ่ายหัวนี้มีประโยชน์มากกว่าใช้แค่ดับเพลิงจริงๆ ร่องรอยสีที่หลุดร่อนบอกเล่าเรื่องราวได้เป็นอย่างดีว่ามันได้ทำงานรับใช้ “ก้น” ของลุงและป้ามานานนับครั้งไม่ถ้วน
ลองมองไปรอบๆ ตัวดูนะครับ ค้นหาสีสันที่เราชื่นชอบเป็นพิเศษ สีสันที่ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกที่อยากจะถ่ายภาพเก็บไว้หรือสเก็ตช์ลงสมุดในแบบของเราเอง สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เราจับปากกาแล้ววาดภาพ แถมยังอาจได้เห็นเรื่องราวในอีกแง่มุมนึงหากเราเฝ้ามอง สังเกต และใช้เวลาร่วมกับมัน
ปล. เขียนหล่อๆ แบบนี้พอกลับมาอ่านตั้งแต่ต้นแล้วขนลุกชะมัด!
อุปกรณ์ที่ใช้
จั่วหัวก็เกินไป๊! ถึงผมจะชอบพิซซ่าร้านนี้มากมายขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้ไปถี่ถึงขนาดนั้นครับ อันที่จริงแล้วถ้าจำไม่ผิดผมไปทานมาแลัวน่าจะ 8 ครั้งได้(ในสองเดือน) ก็เนื่องจากพิซซ่ามันอร่อยมากกก วัตถุดิบที่ใช้ก็คุณภาพดี แถมยังสามารถสั่งทานแค่พออิ่มชิ้นเล็กๆ ได้ด้วย พิซซ่าราคาเพียงแค่ 100 บาทก็อิ่มหนำสำราญใจแล้วครับ (แต่ผมขอสองนะ)
เนื่องจากร้าน Pala Pizza Romana ร้านนี้เป็นร้านอาหารแบบฝรั่งจ๋า ทำให้อะไรๆ ก็ดูน่าสเก็ตช์ไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้าน สินค้าที่วางขาย รวมถึงเมนูอาหารแต่ละเมนูด้วย และถึงแม้ผมจะเสพติดพิซซ่าร้านนี้มากมายเพียงใดก็ตาม แต่สิ่งที่ผมอยากสเก็ตช์ที่สุดกลับเป็นอาหารจานสลัดครับ ก็เนื่องจากความสดใสของสีสันวัตถุดิบ รวมถึงการจัดวางแบบ “ไร้กระบวนท่า” …หรือก็คือเอามาขยำๆ รวมๆ กันนั่นเองครับ ทำให้สลัดแต่ละจานนั้นน่าทานและน่าสเก็ตช์เป็นที่สุด
เมนูแรกเป็นเมนูที่ผมไปทานมาเมื่อเทศกาล “มายโลนลี่วาเลนไทน์” ที่ผ่านมาครับ Burrata Caprese มันคือสลัดมะเขือเทศครับ ฝานมะเขือเทศลูกขนาดกำลังพอเหมาะเป็นแผ่นหนา วางลงบนจานพร้อมกับผักร๊อคเก็ต ราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อยพร้อมเติมแต่งรสชาติเข้มข้นด้วยน้ำส้มบัลซามิก ปิดท้ายด้วยพระเอกคนสำคัญของสลัดจานนี้ก็คือชีสควาย…เอ่ออ…ชีสนมควายหรือก็คือ Burrata Cheese ที่วางมาทั้งก้อนเหมือนเชฟเขาขี้เกียจครับ ค่อยๆ เอามีดฝานตัดก้อนชีสก้อนใหญ่นี้ให้น้ำนมที่คงเหลืออยู่ภายในไหลออกมา จิ้มชิ้นชีสที่ชุ่มฉ่ำทานคู่ไปกับมะเขือเทศที่อาบพรมไปด้วยบัลซามิก รสชาติของนมผสมกับความหวานของมะเขือเทศและความเปรี้ยวของบัลซามิก สลัดจานนี้อร่อยจนยากที่จะหาคำบรรยายมาบอกกล่าวเลยหล่ะครับ
เมนูสลัดจานที่สองก็คือ Bio Red Honey Tomato Salad วันนี้ผมไปทานกับเพื่อนครับนั่นก็คือคุณวิ @pi_pooh สเก็ตช์เชอร์ทาสแมวและอาหารยั่วน้ำลายของเรานั่นเอง เรื่องของเรื่องคือผมได้เคยโม้กับคุณวิไว้เยอะมากว่าพิซซ่าร้านนี้อร่อยนักอร่อยหนา คุณวิฟังแล้วก็หน้านิ่วว่าจะเชื่อถือคำพูดของผมได้หรือไม่ จึงขอมาลองให้หายข้องใจกันไปเลยครับ สั่งพิซซ่าเป็นที่เรียบร้อยสำหรับมื้อนี้แต่ตาของพวกเราเหลือบไปเห็นเมนูพิเศษประจำวันบนป้ายที่แขวนไว้เหนือบาร์…แล้วก็ลองสั่งดูครับ สลัดจานนี้เป็นสลัดมะเขือเทศสีส้ม…ซึ่งผมไม่ทราบจริงๆ ครับว่ามันคือพันธุ์อะไรกันแน่แต่ถ้าหากมันเป็นสิ่งที่สามารถกินได้ …ผมก็กินไม่ยั้งอยู่แล้วครับ สลัดจานนี้เป็นสลัดหวาน เสริฟมาพร้อมกับชีส(อะไรไม่รู้จำชื่อไม่ได้)หันเป็นสีเหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ คลุกเคล้าด้วยกันกับผักร็อคเก็ต แต่ที่ทำให้สลัดจานนี้มีรสชาติที่พิเศษเหนือใครนั่นก็คือน้ำผึ้งครับ จานนี้เป็นสลัดที่ราดน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มความหวานแต่กำลังพอดี ผสมผสานกับความหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ของมะเขือเทศ ตัดรสด้วยความเค็มเล็กน้อยจากชีส เผลอแป๊บเดียวสลัดจานนี้ก็หมดเกลี้ยงแบบไม่ทันรู้ตัวครับ
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงจะบอกว่าไหนว่าชอบพิซซ่าแต่ไม่เห็นมีสเก็ตช์รูปพิซซ่ามาอวดกันบ้างเลย …ผมต้องขออภัยจริงๆ ครับที่ไม่มีสเก็ตช์พิซซ่าเหล่านั้นมาให้ได้ชม งั้นขอแก้ตัวด้วยการนำรูปถ่ายที่ “ไม่ได้ตั้งใจถ่าย” มาให้ดูกันแล้วกันนะครับ 😉
อ้อ! เกือบลืมบอกครับ ร้านนี้เดินทางไปไม่ยากเลยครับ นั่งรถไฟฟ้ามาที่สถานีอโศก หรือรถไฟใต้ดินมาที่สถานีสุขุมวิท ตรงบันไดเลื่อนทางเชื่อมต่อระหว่างรถไฟใต้ดินมายังบนดิน(บริเวณที่มีม็อบ ข้างร้านโดนัท บันไดเลื่อนที่จะขึ้นไปห้างเทอมินัล 21) หยุดยืนสักพักเพื่อสูดกลิ่นหอมจากเตาอบครับ แล้วคุณจะทราบเองว่าเดินตรงไปอีกสักนิดร้าน Pala Pizza Romana ก็กำลังรอคอยให้คุณเข้าไปลิ้มชิมรสพิซซ่าที่แสนอร่อยอยู่ครับ
อุปกรณ์ที่ใช้
เว็บไซต์ของร้าน : palapizzabangkok.com
ขอขอบคุณ : รูปถ่ายสวยๆ จาก @itidtie ด้วยนะครับ นี่ชั้นต้องพาเธอไปเลี้ยงไหมเนี่ยะ?
เพึ่งมีโอกาสได้ไปพักผ่อนช่วงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาครับ
เริ่มทริปด้วยการเดินทางจาก หาดใหญ่ นั่งรถไปท่าเรือปากบารา ประมาณ 2 ชั่วโมง นาน เลยมีเวลาสเก็ตช์ เส้นสั่นมาก เพราะรถกระเด้งในบางเวลา จริงๆ ส่วนใหญ่ก็ชอบวาดรูปตอนรอนี่แหละครับ
เสร็จแล้วก็ต่อด้วยเรือเฟอรี่ อีก 1 ชั่วโมง 45 นาที เพื่อไปสู่เกาะหลีเป๊ะกับรีสอร์ต ชื่อ Serendipity รีสอร์ตอยู่สุดหาด
มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก อยู่บนเขา ห้องใครห้องมัน ห้องผมเบอร์ 11 เป็นห้องที่ใหม่ที่สุด เพราะอยู่สูงที่สุดนั่นเอง
มาถึงแล้วระหว่างรอเพื่อนแต่งตัว ก็สเก็ตช์สักหน่อย
วันถัดไป นั่งรอเพื่อนเพื่อทานอาหารเช้าพร้อมกัน ก็จัดสเก็ตช์ไปอีก ก่อนที่จะไปดูปลา ดำน้ำทั้งวี่วัน
ตกดึก เม๊าท์มอยส์ แล้วเผอิญเหลือบไปเห็น แผนภูมิปลาทะเลย เลยพยายามวาดตามกับเพื่อน แล้วก็ลงสี
ดูแปลกตาไปบ้าง แต่ก็เป็นการบันทึกความทรงจำที่ดีนะครับ 🙂 จริงๆ จะบอกว่า ปกติวาดสวยกว่านี่ 55
ART+DEJ
อุปกรณ์ใหม่
– ปากกา LAMY หัว M กับหมึก Platinum Carbon Ink ครับ
แฟนพันธุ์แท้สตาร์บัคส์คนไหนอ่านแค่หัวข้อตอนนี้แล้วอยากจะเข้ามาไฝ้ว์กับผมขอให้อ่านให้จบก่อนนะครับ เดี๋ยวจะเมื่อยนิ้วเพราะมัวแต่พิมพ์มาม่า
หลายคนคงทราบดีครับว่าไอตัวกระผมนั้นเป็นคนที่เสพติดกาแฟเป็นอย่างมาก วันใดไม่ได้สูบกาแฟเข้ากระแสเลือดวันนั้นแทบเรียกได้ว่าสถานะทางอารมณ์เหมือนผีชีวะเลยทีเดียว มันไม่สดชื่น โลกมืดหม่นมัวหมอง อะไรก็ดูเชื่องช้าไปเสียหมด…เฮ้อ…นอนในออฟฟิศมันเลยเสียดีกว่า
การที่ผมเสพติดกาแฟในความหมายคือผมติดรสกาแฟครับ เลือกดื่มกาแฟแต่รสที่ชอบเท่านั้น คั่วแบบนี้ เมล็ดพันธุ์นี้ กลั่นช็อตออกมาที่เวลาเท่านี้ถึงจะสมบูรณ์แบบ ซึ่งดัดจริตมาก!! ใช่ครับผมรู้ตัวดี…มันจึงเป็นนิสัยเสียที่ติดตัวมาจากเชียงใหม่ซึ่งมีร้านกาแฟที่ถูกปากผมหลายร้านแถมยังเดินทางไปดื่มได้สะดวกแต่พอย้ายมาทำงานที่บางกอก การหากาแฟที่รสถูกปากสักร้านช่างเป็นไปได้ยากเย็น เข้าห้างก็มีแต่กาแฟแบรนด์ใหญ่ๆ จะออกนอกเส้นทางรถไปฟ้าก็ไปไม่เป็นไม่มีรถส่วนตัว ทำให้ได้ดื่มแต่กาแฟที่รสไม่ถูกปาก นั่นก็คั่วเข้มแล้วมาชงร้อนเหมือนให้ม้ากิน นั่นก็เบาบางไปหรือบางร้านสั่งเอสเพรซโซ่แต่เหมือนกินไมโลผสมเนสกาแฟ โว๊ะ! ดัดจริตมาก! …ส่วนพวกแกก็อย่าเอาเปรียบคนกินกาแฟนักสิฟระ! (ขอบ่นนิดนึง)
แต่แล้ววันนึงชีวิตผมก็เปลี่ยนไปครับ เพื่อนผมคนนึงเค้าได้แนะนำว่าถ้าอยากกินกาแฟทำไมไม่กินที่ร้านสตาร์บัคส์ล่ะ …แน่นอนว่าในใจผมต่อต้านเนื่องมาจากในอดีตเคยลิ้มลองไปหลายแก้วแต่ไม่เคยเป็นที่ถูกใจแม้แต่เมนูเดียว ราคานั้นก็แสนแพง มีแต่กาแฟเด็กเล่นน้ำหวานเต็มแก้วจนไม่ได้รสกาแฟ เกลียด!! แต่คราวนี้เพื่อนผมก็แนะนำว่าทำไม่ลองกาแฟเมนูนี้ดูล่ะ ถึงไม่เป็นกาแฟแบบอิตาเลียนแท้ๆ แต่รสชาติดีรับรองว่าต้องติดใจแน่ นั่นก็คือ Hot Caramel Macchiato ผมเลยสั่งด้วยความคาดหวังว่ามันจะเป็นแก้วช็อตเล็กเหมือน Macchiato แบบอิตาเลียน ซดน้อยแต่พอดีมีนมหน่อยให้พออยู่ท้อง แต่กลับกลายเป็นว่ากาแฟแก้วนี้เสริฟมาเป็น “โอ่ง” ครับ!! ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าไอคำว่า Macchiato ของไอร้านนี้มันจะเสริฟมามากมายขนาดนี้ เรียกได้ว่ากินอิ่มยันอ้วกได้เลย แต่ไหนๆ แล้วก็ขอลองลิ้มชิมรสสักหน่อยนะ
…ข้าขอคุกเข่าลงแต่เทพีกาแฟ…อร่อยมาก!! เมนูกาแฟแก้วนี้อร่อยเสียจริงจนผมต้องประหลาดใจ ถึงแม้ไม่ใช่กาแฟแบบต้นฉบับที่แท้จริงแต่เป็นการปรับสูตรให้เกิดเมนูที่ทำให้สามารถดื่มกาแฟได้ง่าย สามารถดื่มได้ทุกเพศทุกวัยซึ่งนี่แหละเป็นสิ่งที่มัดใจแฟนๆ สตาร์บัคส์เค้าหล่ะ เอสเพรซโซช็อตรสนุ่ม เทลงในนมร้อนที่สตีมเป็นอย่างดี ราดหน้าด้วยคาราเมลเข้มข้นหวานมันสูตรพิเศษของทางร้าน ทำให้กาแฟแก้วนี้อร่อยสามารถดื่มได้ง่าย ไม่จะกลางวันหลังมื้ออาหาร หรือจะเป็นหัวค่ำก่อนกลับบ้านเข้านอน กาแฟอุ่นๆ แก้วนี้ช่างเหมาะในทุกช่วงเวลาเสียจริง เข้าร้านครั้งหน้าลองสั่งกันได้นะครับรับรองว่าจะไม่ผิดหวัง(แถมอ้วนน้อยกว่ากาแฟปั่นกาแฟเย็นด้วยนะเอ้อ!)
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเกลียดสตาร์บัคส์เข้าเส้นก็คือ “วัฒนธรรมที่ลูกค้าปฏิบัติ” ครับ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งแช่ของลูกค้าตั้งแต่เช้ายันบ่ายด้วยน้ำมะนาวแก้วเดียว การติวหนังสือหรือขายตรงที่ทำกันแบบไม่เกรงใจใคร การถ่ายรูปแก้วกาแฟที่ไม่ว่าจะถ่ายมุมใดตีลังกาหรือนอนเหยียดบนพื้นก็ล้วนแล้วแต่จะมีโลโก้ของสตาร์บัคส์หันเข้ากล้องอยู่เสมอจนดู “ยิ่งกว่าจงใจ” หรือล่าสุดจะเป็นการนั่งสเก็ตช์ในร้านโดยที่กาแฟหมดแก้วไปนานแล้วแต่ยังไม่ลุกเสียที(อุย!) ทีแรกผมก็สงสัยว่าไอเรื่องพวกนี้มันอะไรของมันวะ? แต่พอมองและคิดดูอย่างถ้วนถี่แล้วต้องถือว่ากาแฟแบรนด์นี้ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ทีเดียว ลูกค้ามีความภูมิใจที่ได้เข้ามาใช้บริการ ดึงลูกค้าให้อยู่ในร้านได้นานซึ่งมีโอกาสที่จะสั่งเครื่องดื่มเพิ่มได้ในภายหลัง(ข้อนี้ยังคงเป็นที่สงสัย) สามารถโปรโมทแบรนด์ผ่านลูกค้าได้โดยสมัครใจและไม่ต้องมีรางวัลมาเป็นข้อตกลง แถมทางร้านยังมีบริการให้เราได้ลองชิมกาแฟแปลกใหม่รวมถึงขนมจากทางร้านด้วยความเป็นกันเอง ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกเสมือนมาร้านกาแฟของเพื่อนที่รู้จักและอยากที่จะกลับมาอีกครั้งในโอกาสหน้า ทั้งหมดคือความเจ๋งของสตาร์บัคส์ที่ผมชื่นชอบและอดอมยิ้มไม่ได้ทุกทีเมื่อเข้ามาดื่มกาแฟในร้านและก็เห็นสาวๆ ถ่ายรูปตัวเองคู่กับแก้วกาแฟลงอินสตาแกรม นี่แหละครับคือ Starbucks Culture ที่น่าสนใจเสียจริง
อุปกรณ์ที่ใช้ :